Demons’ Crest: การกัดเซาะความเป็นจริงและการเข้าร่วมโลกอื่น บทวิจารณ์นิยาย
1 min read
เรื่องย่อ:
Demons’ Crest: Reality Erosion and Otherworld Engage Novels Review
โรงเรียนประถมของฝาแฝดชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซาว่าและยูมะจะปิดทำการหลังจากสำเร็จการศึกษา ดังนั้นเพื่อเป็นการให้รางวัลพิเศษ นักเรียนทั้งชั้นจึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมการทดสอบเล่นเกม VRMMORPG เกมแรกของโลก ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งตัวอย่างใกล้จะจบลงและเด็กๆ สังเกตเห็นว่าปุ่ม “ออกจากระบบ” หายไปอย่างชัดเจน สิ่งต่อไปที่ยูมะรู้ก็คือ เขาตื่นขึ้นมาในเครื่องเล่น VR Pod กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าตกใจมาก ดูเหมือนว่าโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนกำลังเริ่มผสานเข้าด้วยกัน และนั่นหมายความว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมและเป็นจริงมากเกินไป แย่กว่านั้น เพื่อนคนหนึ่งของพวกเขาถูกทิ้งไว้ในโลกเสมือนจริง พวกเขาสามารถกลับไปที่เกมเพื่อช่วยชีวิตเธอได้หรือไม่ หรือว่าชีวิตจริงคือ “เกม” ใหม่ของพวกเขา
Demons’ Crest แปลโดย James Balzer
บทวิจารณ์:
Reki Kawahara เป็นคนประเภทที่ทำอะไรได้อย่างเดียว ซึ่งฟังดูรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมีนักเขียนมากมายในสื่อทุกประเภทที่มีเรื่องราวเฉพาะตัวที่โผล่ขึ้นมาบ่อยๆ ในผลงานของพวกเขา แต่ Kawahara สังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้นเพราะผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาอย่าง Sword Art Online มีชื่อเสียง เขาเติบโตขึ้นในฐานะนักเขียนตั้งแต่เริ่มเขียน SAO ดังนั้นจึงชัดเจนว่าเขาใช้เวลาหลายปีในการปรับปรุงกลวิธีของเขา นั่นคือความสุขและอันตรายในโลก VR หรือ AR ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเกมจะกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าแค่สิ่งที่เล่นได้ การกระทำดังกล่าวทำให้ความคล้ายคลึงกันที่แทบจะซ้ำซากระหว่างผลงานทั้งหมดของเขาลดน้อยลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความคิดของคุณ แต่แน่นอนว่าจะต้องมีผู้อ่านที่หันหลังให้กับ Demons’ Crest เพียงเพราะสโลแกนที่ว่า “นี่คือมากกว่าเกม นี่คือชีวิตจริง” ซึ่งคล้ายกับ “นี่อาจเป็นเกม แต่ไม่ใช่สิ่งที่คุณเล่น” ของ SAO อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวในครั้งนี้จะดูเด็กกว่าเล็กน้อย ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ดังนั้นทุกคนจึงมีอายุ 11 หรือ 12 ปี ในเวอร์ชันของเรื่องราวในปี 2031 ความจริงเสริม (AR) ได้กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน โดยผู้คนใช้คอมพิวเตอร์สวมใส่ที่ใช้ฟิล์มพิเศษที่เรียกว่า QREST QREST (อ่านว่า “เครสต์”) สวมไว้ที่มือเหมือนพลาสเตอร์ใสบางๆ พร้อม “เลนส์ตา” และที่อุดหู ส่วนประกอบทั้งสามนี้ช่วยให้ผู้คนซ้อนประสบการณ์ในชีวิตจริงของตนด้วยฟังก์ชันคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ซึ่งเป็นการยกระดับจากเทคโนโลยีที่ Kawahara สร้างขึ้นใน Accel World แม้ว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นระหว่างเทคโนโลยีนี้กับ SAO ความจริงเสริมเพิ่งจะเริ่มใช้งานได้จริง และตัวอย่างสำหรับความจริงเสริมคือ MMORPG ใหม่ที่เรียกว่า Actual Magic เกมนี้เล่นโดยใช้แคปซูลบุนวมแบบพิเศษ (เช่น NervGear แบบเต็มตัว) ซึ่งมีให้เฉพาะใน Althea ซึ่งเป็นศูนย์เกมที่สร้างโดยนักพัฒนาของ Actual Magic เท่านั้น เนื่องในโอกาสสำเร็จการศึกษา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่กำลังจะปิดตัวลงในไม่ช้านี้จะได้รับโอกาสทดลองเล่นเวทมนตร์จริงที่ Althea ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เมื่อถึงจุดนี้ ผู้อ่านส่วนใหญ่จะทราบแล้วว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใด มีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง ปุ่มออกจากระบบหายไป และความโกลาหลอันร้ายแรงก็เกิดขึ้น แต่ต่างจากเกมประเภทเดียวกันส่วนใหญ่ ตัวละครส่วนใหญ่ใน Demons’ Crest ไม่ได้ติดอยู่ในโลกเสมือนจริงของเกม ร่างกายของพวกเขาถูกขังอยู่ในแคปซูลเกมที่บรรยายว่าฟังดูเหมือนโลงศพ ในทางกลับกัน โลกเสมือนจริงเริ่มผสานเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วถือว่าน่าตกใจกว่ามาก เมื่อยูมะตื่นขึ้นมาในแคปซูล Caliculus ของเขา พลังของ Althea ก็ถูกตัดขาด เขาต้องเปิดฝาด้วยมือ และเขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่ใช่แค่พลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลิ่นโลหะแปลกๆ ในอากาศด้วย ซึ่งเราเดาได้ว่าเป็นเลือด เขาเริ่มตระหนักได้ว่าห้องที่อยู่รอบตัวเขาถูกทำลายไปเกือบหมดแล้ว ก่อนที่จะได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างซูมิกะ…ซึ่งไม่ใช่สาวสวยที่สุดในโรงเรียนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว และเป็นผู้หนึ่งที่ฆ่าเพื่อนร่วมชั้นอีกคนไปอย่างชัดเจนแล้ว
เนื้อหาส่วนใหญ่ในเล่มแรกเป็นแนวสยองขวัญ แม้ว่ายูมะจะได้กลับมาพบกับซาว่า พี่สาวฝาแฝดของเขาและเคนก์ เพื่อนสนิทของเขา (ชื่อเล่นในซีรีส์นี้ไม่ค่อยดี) แต่ก็ไม่ได้ช่วยลดอันตรายได้มากนัก ผู้ใหญ่ทุกคนเสียชีวิตหรือหายตัวไป นักเรียนเกือบครึ่งชั้นหายไป และเด็กๆ ทุกคนพยายามหาคำตอบอย่างสิ้นหวังว่าเกิดอะไรขึ้นและพวกเขาจะรอดจากเหตุการณ์นั้นได้อย่างไร การตระหนักว่าเพื่อนร่วมชั้นกำลังจะตาย—บางคนถูกฆ่าโดยซูมิกะผู้โหดร้าย—ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Lord of the Flies โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มแกนนำสามคนพบกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ และผู้คนเริ่มแย่งชิงอำนาจ ยูมะและเคนก์พยายามทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ แต่พวกเขาก็ยังคงพบกับอุปสรรคที่ว่า “สิ่งที่ถูกต้อง” อาจไม่มีความหมายเหมือนเดิมก่อนที่ความเป็นจริงจะเริ่มกัดกร่อน พวกเขาต้องเขียนการรับรู้ของตนเองใหม่ในขณะที่พยายามเอาชีวิตรอดและรักษาชีวิตผู้อื่นให้รอดเช่นกัน
ซาว่าเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอมีข้อมูลมากกว่าใครๆ เมื่อเธอและยูมะกลับมาพบกันอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนอีกต่อไปแล้ว และดูเหมือนจะมีปีกและเขาที่งอกออกมาจากร่างกายของเธอ เธอฟังดูเหมือนเป็นคนเดิมเป็นส่วนใหญ่ แต่ความไม่สบายใจของยูมะเกี่ยวกับน้องสาวของเขานั้นชัดเจน แม้ว่าเขาจะไม่อยากคิดแบบนั้น แต่ความคิดที่ว่าบางทีไม่ใช่แค่โลกที่เปลี่ยนไป แต่ผู้คนก็เปลี่ยนไปด้วย เป็นความกังวลที่แฝงอยู่ในทั้งสองเล่ม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วนำเราไปสู่ตอนจบแบบค้างคาของทั้งสองเล่ม คำถามที่ว่าทำไมซาว่าไม่อยากบอกทุกอย่างที่เธอรู้กับยูมะ แม้ว่าเธอจะแสดงท่าทีจริงจังมากกว่าเด็กผู้ชายทั้งสองคนก็ตาม น่าเป็นห่วง และอีกครั้ง ด้านความสยองขวัญนี้เป็นองค์ประกอบที่แข็งแกร่งที่สุดของนวนิยายเรื่องนี้
เรามีคำตอบบางส่วนในเล่มที่สอง แม้ว่ามันจะยังค่อนข้างคลุมเครือก็ตาม เนื้อเรื่องของหนังสือเล่มที่สองเกิดขึ้นเป็นหลักในโลกของเกม ซึ่งความรู้ใหม่ที่ซาว่าเพิ่งค้นพบทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถกลับเข้าสู่โลกของเกมได้อีกครั้ง เป้าหมายของพวกเขาคือการตามหา Nagi เพื่อนที่หายตัวไป แต่สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จริงๆ ก็คือว่า Actual Magic ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน แทนที่จะรู้สึกเหมือนเป็นโลกในเกม กลับกลายเป็นจริงมากขึ้นอย่างกะทันหัน ตอกย้ำความคิดที่ว่าโลกทั้งสองนี้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยพื้นฐานแล้ว ในขณะที่อยู่ใน AM กลุ่มนี้ได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนจากกลุ่มที่หนีขึ้นไปชั้นบนใน Althea แทนที่จะลงไปข้างล่าง การเผชิญหน้าครั้งนี้นำไปสู่จุดจบแบบค้างคาของเล่มนี้โดยตรง ในขณะเดียวกันก็ขยายขอบเขตของหนังสือด้วย ณ จุดนี้ Yuuma และกลุ่มของเขายังคงดิ้นรนกับแนวคิดของเกมที่กลายเป็นจริง และพวกเขายังคงทำตัวเหมือนว่าทุกอย่างเป็นไปตามตรรกะของโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าตอนนี้ Sawa จะเป็นโฮสต์ของ Valac หนึ่งในปีศาจในชื่อเรื่องแล้ว แต่พวกเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งนั้นมีความหมายอย่างไรสำหรับพวกเขาในแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น Nagi และ Niki เป็นหลักฐานที่ยากที่จะละเลยได้มาก แม้ว่าทั้งหมดนี้จะยังคงทำซ้ำจังหวะของเนื้อเรื่องจากทั้ง SAO และ Accel World อย่างมาก แต่ก็รู้สึกเร่งด่วนมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าฝีมือของ Kawahara ดีขึ้นหรือไม่ก็เนื่องมาจากความเยาว์วัยของตัวละครที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
แม้ว่า Kawahara จะพัฒนาขึ้นในฐานะนักเขียนในรายละเอียดที่ใหญ่กว่าของงานของเขา แต่ปัญหาจากช่วงแรกๆ ของเขายังคงก่อกวนหนังสือเล่มนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเขายังไม่เก่งในการเขียนตัวละครหญิง เด็กผู้หญิงเป็นภาพจำแบบกว้างๆ (มีเด็กผู้หญิงใจร้ายมาตรฐานทั่วไปที่เป็นแบบแผนมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่กลอกตา) หรือถูกทำให้ดูแปลกตาและ/หรือสมบูรณ์แบบ โดยที่ Sawa ตกอยู่ในค่ายหลัง Sumika เปลี่ยนจากสมบูรณ์แบบไปเป็นการทำให้ดูแปลกตา เพราะเห็นได้ชัดว่าแม้ว่าใบหน้าและพฤติกรรมของเธอจะน่ากลัว แต่ร่างกายของเธอยังคงงดงาม และความสามารถของ Yuuma ในการใช้คลาส Tamer ของเขาเพื่อจับสัตว์ประหลาดนั้นก็เหยียบย่ำพื้นที่ที่ไม่สบายใจ การเขียนอาจซ้ำซากมากเกินไป โดยมีวลีหรือข้อมูลซ้ำๆ กันไม่กี่ประโยคบ่อยเกินไป แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าผลงานก่อนหน้านี้ก็ตาม
Damons’ Crest ถูกสร้างขึ้นเป็นเว็บตูนตามที่คาวาฮาระบอกเราในคำอธิบายท้ายเล่ม และเขาประหลาดใจมากที่ได้รับการขอให้เขียนนวนิยายด้วย แน่นอนว่าความกลัวของเขาที่จะมีซีรีส์มากเกินไปในคราวเดียวนั้นสมเหตุสมผล แต่ถึงแม้จะมีเวลาจำกัด หนังสือเหล่านี้ก็ยังสนุกอยู่ดี มันไม่ใช่เรื่องราวที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ดีกว่าผลงานก่อนหน้านี้ของเขาเช่นกัน แฟนๆ ของทั้งผู้แต่งและแนวเรื่องควรจะพอใจ และแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้เป็นทั้งสองอย่างก็อาจจะพบสิ่งที่จะอ่านต่อไปได้
การเปิดเผยข้อมูล: Kadokawa World Entertainment (KWE) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kadokawa Corporation เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ของ Anime News Network, LLC Yen Press, BookWalker Global และ J-Novel Club เป็นบริษัทในเครือของ KWE
เกรด:
ข่าวกีฬาบาสเก็ตบอล
ภาพรวม: B
เนื้อเรื่อง: B
ภาพประกอบ: B+
+ ภาพประกอบสวยงาม คาวาฮาระกลายเป็นนักเขียนที่ดีขึ้นแล้ว องค์ประกอบสยองขวัญก็ใช้ได้ผลดีมาก
− คาวาฮาระยังคงเขียนเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ซึ่งอาจซ้ำซาก เทคโนโลยียังคงดูไม่น่าเชื่อ
ข้อมูลการผลิต:
เรื่อง: เรกิ คาวาฮาระ
ลิขสิทธิ์โดย: เยน ออน
รายละเอียดสารานุกรมฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับ
